วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมภาคเหนือ




ภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคเหนือ แบ่ง ๔ กลุ่ม
กลุ่มที่ ๑ คติ ความคิด ความเชื่อ และหลักการพื้นฐานขององค์แห่งความรู้คือ การประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ โดยสามารถ
ดำ รงชีวิตอยู่ได้ โดยการพึ่งพาธรรมชาติ ความคิดความเชื่อเหล่านี้จะนำมาสู่การพัฒนาชีวิตและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้แก่
๑.๑ นิทานปรัมปราเรื่องมนุษย์เกิดจากน้ำเต้า สะท้อนการใช้ภูมิปัญญาสอนให้รู้จักรักพืชพรรณซึ่งเปรียบเสมือนบิดามารดาของเรา๑.๒ นิทานปรัมปราที่ให้ความสำคัญกับกำเนิดมนุษย์คู่แรก เช่น โคตรวงศ์ของชาติพันธุ์ต่าง ๆ คือ ปู่แสงสีย่าแสงไส้ หรือ ปู่สังกะสาย่าสังกะสี สะท้อนภูมิปัญญาแห่งความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษ
๑.๓ นิทานปรัมปราที่มีพลังเหนือธรรมชาติเป็นผู้สร้าง คือ แถนแล้วส่งมนุษย์ผู้เก่งกล้าลงมาปกครอง ในคติล้านนาพญาแถนได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นพระอินทร์ และได้ส่ง พญาธัมมิกราชมังรายมาเกิดเพื่อเป็นผู้ปกครอง สะท้อนภูมิปัญญาแห่งการยอมรับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า



๒. ความเชื่อเกี่ยวกับอำนาจความสมบูรณ์เป้าหมายสูงสุดของชีวิตชาวล้านนา มีความเชื่อ และพิธีกรรมที่แสดงออกถึงความปรารถนาที่จะขอให้อำนาจแห่งธรรมชาติดลบันดาลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะพิธีขอฝนจึงขุดพบกลองกบ และสัญลักษณ์รูปอวัยวะเพศชายและหญิงซึ่งล้วนเป็นสัญลักษณ์ทางความเชื่อที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนั้นยังมีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ เช่น การฟังธรรมคาถาปลาช่อน พิธีแห่นางแมว เป็นต้น

๓. ความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือผีชาวล้านนาเชื่อว่า ผีเป็นตัวแทนอำนาจเหนือธรรมชาติที่มีอิทธิพลต่อชีวิตโดยเชื่อว่าสถานที่แทบทุกแห่งมีผีให้ความคุ้มครองรักษาอยู่ ความเชื่อนี้จึงมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันเห็นได้จากขนบธรรมเนียม ประเพณี และพิธีกรรมต่างๆ การนับถือผีมีความสัมพันธ์กับการนับถือบรรพบุรุษ ซึ่งแสดงถึงการผูกพันและเคารพนับถือ เช่น ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวเหนือ (พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย) เมื่อไปวัดฟังธรรมก็จะประกอบพิธีเลี้ยงผี คือ จัดหาอาหารคาว-หวานเซ่นสังเวยผีปู่ย่าด้วยการนับถือผีเป็นการสะท้อนภูมิปัญญาด้านต่างๆ เช่น ผีด้ำ คือ ผีบรรพบุรุษ มีหน้าที่คุ้มครองเครือญาติและครอบครัวสะท้อนความกตัญญูรู้คุณผีอารักษ์หรือผีเจ้าที่เจ้าทาง มีหน้าที่คุ้มครองบ้านเมืองและชุมชนสะท้อนความเป็นผู้นำผีเจ้าป่าเจ้าเขา มีหน้าที่คุ้มครองเมื่อเข้าไปหาของในป่าซึ่งเป็นแหล่งอาหารของชุมชน สะท้อนความกตัญญูของทรัพยากรป่าไม้ เป็นต้น



๔. ความเชื่อเกี่ยวกับขวัญ กลุ่มชาวไทเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างทั้งคน สัตว์ พืช สิ่งของต่างๆ ล้วนมีขวัญเป็นพลังชีวิต เป็นแก่นชีวิต ขวัญมีความสำคัญต่อระบบคิดและระบบความเชื่อเป็นอย่างมากจึงก่อให้เกิดพิธีกรรมต่างๆ ที่จะทำให้ขวัญอยู่กับตัวตลอดไปเห็นได้จากการที่กลุ่มคนไทมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับขวัญในทุกช่วงของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายกลุ่มที่ ๒ศิลปะ วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียม ประเพณี คือ ตัวชี้ลักษณะที่สำคัญของการแสดงออกถึงภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่นซึ่งเป็นการแสดงถึงความเจริญงอกงามและความเป็นระเบียบของท้องถิ่น เป็นวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมาเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ ประเพณีต่างๆพิธีบูชาผีปู่แสะย่าแสะ เป็นการจัดเลี้ยงให้ผีประจำปีในเดือนเก้าของชนเผ่าลัวะ ณ บริเวณเชิงเขาดอยสุเทพซึ่งจะเป็นพิธีนำควายหนุ่มสีดามาสังเวยยักษ์ที่เป็นผีประจำเมืองโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขและปลอดภัยประเพณีบูชาอินทขิล คือการบูชาเสาหลักเมืองของชาวลัวะ ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหารการบูชาเสาอินทขิลจะจัดขึ้นในช่วงเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนเป็นประจำทุกปีที่เรียกว่า เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออกซึ่งจะมีพิธีใส่ขันดอกไม้ในตอนกลางคืนเหมือนกับการใส่บาตรดอกไม้จุดมุ่งหมายเพื่อให้บ้านเมืองก็สงบสุขและเจริญรุ่งเรืองประเพณีสืบชะตา การทำพิธีสืบชะตาจะช่วยต่ออายุให้ตน เอง ญาติพี่น้องและบ้านเมืองให้ยืนยาว ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นสิริมงคลประเพณีปอยน้อยเป็นประเพณีบวชหรือการบรรพชาของชาวเหนือจะมีชื่อเรียกต่างกันในบางท้องถิ่น เช่น ปอยน้อย ปอยบวชปอยลูกแก้ว ปอยส่างลอง นิยมจัดภายในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมประเพณีบวชลูกแก้วที่มีชื่อเสียงคือประเพณีบวชลูกแก้ว ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน


วัฒนธรรมความเป็นอยู่
จะอาศัยอยู่บนที่สูง (ดอย) และที่ราบหุบเขามีการร่วมมือกันในการทำให้มีการชลประทาน เหมืองฝายทดน้ำและขุดเหมืองจากบริเวณล้านาหรือธารน้ำนั้น เข้าไปเลี้ยงที่นาและเพื่อการใช้น้ำของชุมชน


วัฒนธรรมการละเล่น
คำว่า การละเล่นหมายถึง การกระทำ าหรือกิจกรรมใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจ ซึ่งมักมีกติกาการเล่นหรือการแข่งขันง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อนมากนัก จุดประสงค์ส่วนใหญ่ มุ่งเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เพื่อออกก าลังกาย และก่อให้เกิดความสามัคคี แสดงถึงเชาว์ปัญญา จินตนาการ มีวินัย เช่น


ชนกว่าง ฤดูกาลเล่นชนกว่าง จะเริ่มต้นตั้งแต่กลางฤดูฝนไปจนถึงต้นฤดูหนาว โดยชาวบ้านจะไปจับตามกอไม้รวก ด้วยการเขย่าให้ตกลงมา ถ้าเห็นว่ามีลักษณะดีตรงตามชนิดที่จะสามารถนำมาเลี้ยงไว้ชนได้ก็จะนำมาเลี้ยง โดยให้อาหารจำพวกหน่อไม้ ลูกบวบ กล้วยสุก อ้อย
ไก่ชนมะม่วง เป็นการละเล่นที่เล่นได้ทุกโอกาสในฤดูที่มะม่วงเริ่มออกผล ให้ความสนุกสนาน ส่วนมากจะเป็นการละเล่นของเด็กผู้ชาย สอนให้ผู้เล่นมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้รู้ชนะ และรู้ระเบียบวินัยของการเล่นด้วยกัน และเป็นการสร้างความสามัคคีต่อการรวมกลุ่ม


วัฒนธรรมดนตรีพื้นบ้าน
ส่วนมากเกิดขึ้นและพัฒนาในสังคมเกษตรกรรม มีลักษณะที่ไม่มีระบบกฎเกณฑ์ชัดเจนตายตัว ประกอบกับใช้วิธีถ่ายทอดปากและการจดจำ ในอดีตผู้หญิงมักนิยมใช้เวลาว่างในตอนกลางคืนให้เป็นประโยชน์ โดยการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อเตรียมไปเพาะปลูกในวันรุ่งขึ้น บริเวณนั้นจึงกลายเป็นจุดศูนย์กลางและการดึงดูดความสนใจของหนุ่มจนกลายเป็นศูนย์รวม
นักแอ่วสาวดนตรีคู่กายชายหนุ่มย่อมนำมาใช้ตามความถนัด สันนิฐานว่าคงมีการนัดหมายเพื่อให้มาบรรเลง แนวเดียวกัน จึงเป็นการพัฒนาการขั้นแรกของการผสมวงดนตรี กลุ่มนักแอ่วสาวตามลานบ้านประกอบด้วยเครื่องดนตรี เปี๊ยะ สะล้อ ซึง ขลุ่ย ปี่ กลองพื้นเมือง (กลองโป่ง) จึงกลายเป็นดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือโดยปริยาย นิยมเรียกตามชนิดของเครื่องดนตรีที่นำมาผสมเป็นวงว่า วงสะล้อซอซึง

วัฒนธรรมเกี่ยวกับอาหารการกิน
นิยมรับประทานข้าวเหนียวเป็นหลัก จึงมีภาชนะที่เรียกว่า"หวด"

อาหารคาว
ภาคเหนือมีการผสมผสานวัฒนธรรมการกินจากหลายกลุ่มชน เช่น ไทใหญ่ จีนฮ่อ ไทลื้อ และคนพื้นเมือง รสชาติของอาหารจึงมีรสกลาง ๆ มีรสเค็มนำเล็กน้อย รสเปรี้ยว หวานมีน้อยมากอาหารของภาคเหนือ ประกอบด้วยข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก มีน้ำพริกชนิดต่าง ๆ เช่น น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง ข้าวซอย แหนม ไส้อั่ว แคบหมู


ข้าวซอย
น้ำพริกหนุ่ม

ขนมหวาน
ขนมภาคเหนือส่วนใหญ่จะทำจากข้าวเหนียว และจะใช้วิธีการต้ม เช่น ขนมเทียน ขนมวง ข้าวต้มหัวหงอก มักทำกันในเทศกาลสำคัญ เช่น เข้าพรรษา สงกรานต์ ขนมที่นิยมทำในงานบุญเกือบทุกเทศกาล คือ ขนมจ๊อก (ขนมนมสาวหรือขนมเทียน)
ข้าวต้มหัวหวอก

ขนมวง


ขนมจ๊อก




ที่มา www.tatc.ac.th/files/110528099292991_13120821214434.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น